กลุ่มเหล็กไทยลุ้น “ไบเดน” ลดอุณหภูมิสงครามการค้า

ภายหลังจากสหรัฐอเมริกาได้ผู้นำคนใหม่ คือ “โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งจะรับตำแหน่งในเดือนม.ค.ปีหน้า ทางกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงมีความคาดหวังว่าสงครามการค้าเหล็กโลก น่าจะลดระดับความรุนแรง
เพราะแค่การระบาดของโรค “โควิด-19” ก็ทำให้อุตสาหกรรมเหล็กทั้งโลกอ่วมหนัก เนื่องจากตลาดหดวูบ
นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กส.อ.ท. เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรค “โควิด-19” ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง จนทำให้ความต้องการใช้เหล็กรวมของโลกในปี 2563 ถดถอยลง โดยคาดว่าจะเหลือ 1,725.1 ล้านตัน ลดลง 2.4% จากปี 2562 แต่ถ้าไม่รวมประเทศจีนซึ่งมีปริมาณความต้องการใช้เหล็กปี 2563 เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2562 ความต้องการใช้เหล็กของโลกจะถดถอยลง -13.3%
สงครามการค้าเหล็กโลกที่รุนแรงมากในระยะหลังนี้มาจากการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กจากประเทศจีน และการตอบโต้จากอเมริกาโดยประธานาธิบดีทรัมป์ใช้มาตรการ Section 232 อ้างความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดเพิ่มอากรนำเข้า 25% ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรการรุนแรงสุดต่อสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2561
จนเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ สหภาพยุโรป หรืออียู ต้องออกมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) สินค้าเหล็กจำนวน มากถึง 28 รายการ ตั้งแต่ต้นปี 2562 และอีกหลายประเทศทั่วโลกพากันใช้มาตรการทางการค้าต่างๆอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ
ในขณะที่ประเทศไทยในช่วงปี 2562-2563 กลับยกเลิกมาตรการ Safeguard สินค้าเหล็ก 2 รายการ โดยยังมีช่องโหว่ไม่สามารถใช้บังคับการตอบโต้การหลบเลี่ยงอากรทุ่มตลาด (Anti Circumvention) ได้ อันเป็นสาเหตุให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยถดถอยจนตกอยู่ในภาวะวิกฤติลการใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทย ลดเหลือเพียง 30% เท่านั้น จากกำลังการผลิตรวม 23 ล้านตันต่อปี
สำหรับประเด็นที่นานาประเทศกำลังจับตามองว่า ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ว่าที่ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” จะดำเนินการนโยบายที่เกี่ยวกับการค้าโลกอย่างไรและคาดหวังว่าอาจมีการยกเลิกมาตรการ Section 232 กับสินค้าเหล็กนำเข้าหรือไม่
นายนาวา กล่าวว่า ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนเคยแถลงนโยบายช่วงหาเสียงเลือกตั้งไว้ชัดเจนว่าจะยกระดับนโยบาย “Buy American” ที่อเมริกาดำเนินการอยู่แล้ว ให้เป็น “Made in All of America” โดยคนงานทั้งหมดของอเมริกา โดยเปรียบเทียบว่าภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาเคยเป็นเสมือนคลังสรรพาวุธของฝ่ายประชาธิปไตยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเขาต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมของอเมริกายังคงเป็นคลังสรรพาวุธของความเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันด้วย เพื่อเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสำหรับครอบครัวที่ต้องทำงาน
ขณะที่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในโครงการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะมีการลงทุนอย่างมากเป็นประวัติการณ์ จะต้องใช้เหล็กที่ผลิตในอเมริกาอย่างเข้มงวด อีกทั้งว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ไม่เคยหาเสียงว่าจะยกเลิกมาตรการ Section 232 ต่อสินค้าเหล็ก แต่เน้นว่าจะให้ความสำคัญต่อการทำงานร่วมกันกับประเทศพันธมิตรเพื่อปฏิรูปกฎการค้าระหว่างประเทศ
“ดังนั้น เชื่อว่าคงยากที่อเมริกาจะยกเลิกมาตรการ Section 232 ต่อสินค้าเหล็กนำเข้าทั้งหมด”
เพราะอาจกระทบต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมเหล็ก ที่การใช้กำลังการผลิตที่เคยขึ้นไปสูงสุดกว่า 80% หลังมีการใช้มาตรการ Section 232 แต่อาจจะมีการทบทวนสร้างสมดุลในการปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในอเมริกา โดยใช้มาตรการที่ผ่อนปรนหรือมีการเจรจากับประเทศที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะเจรจาขอยกเว้นอากรตาม Section 232 ในการส่งออกสินค้าเหล็กไปอเมริกา ซึ่งเคยมีปริมาณมากกว่า 4 แสนตันต่อปี ก่อนมีSection 232แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงราว 167,000 ตันต่อปีเท่านั้น
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท.ยังได้เสนอภาครัฐพิจารณาดำเนินการ 3 มาตรการ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศไทย ได้แก่ 1.ส่งเสริมการใช้สินค้า “Made in Thailand” 2.ตอบโต้การหลบเลี่ยงอากรทุ่มตลาด (Anti-Circumvention) สินค้าเหล็กนำเข้า และ 3.คัดกรองห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีตกยุค
นายนาวา กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากมาตรการต่างๆที่ภาครัฐได้สนับสนุนแล้ว ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กยังได้พัฒนาตนเองมาโดยตลอด ทั้งการควบคุมต้นทุน การใช้เทคโน-โลยีใหม่ๆมาปรับปรุงกระบวนการผลิต การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในไทยมีส่วนสร้างความเจริญของประเทศชาติ.
 

Comments

More Events